#pptv online 14 กันยายน 2564
พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี คือสนามการลงทุนที่มีบทบาทสำคัญกับเศรษฐกิจของไทย นอกจากนั้นยังเป็นพื้นที่ที่จะเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพ กลุ่มดีพเทค (Deep Tech) สาขา ARI-Tech เข้าไปต่อยอดทางธุรกิจ ภายใต้โปรแกรม Global Startup Hub: EEC
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เร่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี ผ่านการผลักดันสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก หรือดีพเทค (Deep Tech)สตาร์ทอัพในสาขา ARI-Tech เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยการเติมเต็มเทคโนโลยีใหม่จากสตาร์ทอัพ พร้อมยกระดับความโดดเด่นในด้านการเป็นฐานแห่งการผลิต และดึงดูดให้นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจที่จะลงทุนหรือขยายธุรกิจในอนาคต
เมื่อก่อนจะเป็นในรูปแบบรับจ้างผลิต แบบ OEM ( Origianl Equipment Manufacturer) แต่ตอนนี้จะกลายเป็น ODM (Original Design Manufactuere) สตาร์ทอัพ สามารถออกแบบ พัฒนาสินค้าหรือใช้เทคโนโลยีของตัวเอง จะไม่ใช่แค่ดึงเอาต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานแล้วเราทำธุรกิจประกอบให้อย่างเดียว
ขณะเดียวกัน สตาร์ทอัพที่ NIA ดึงเข้ามาคือกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก ภายใต้โปรแกรม Global Startup Hub: EEC โดยในปีนี้ NIA นำร่องสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านอารีเทค (ARI-Tech) ซึ่งประกอบด้วย
Artificial Intelligence หรือ AI เทคโนโลยีทีมีความสามารถในการทำความเข้าใจและเรียนรู้องค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา
Robotic หรือ หุ่นยนต์
และ Immersive ซึ่งเป็นนวัตกรรมเสมือนจริง รวมถึงการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตควบคุมสรรพสิ่ง (IoT) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเทคโนโลยีเชิงลึกที่สามารถเชื่อมโยงกับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของอีอีซีที่จะนำไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขันและเติมเต็มมูลค่า
สตาร์ทอัพที่โตมาจากการทำวิจัย หรือไม่ก็ผันตัวเองมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้น และมีความรู้ด้าน AI มีความรู้ด้าน Robotic ด้าน Immersive จะพัฒนาสิ่งเหล่านี้ไปเป็น ซัพพลายเออร์ (Supplier) ให้กับหลากหลายอุตสาหกรรม หรือ เป็น Foundation ให้กับหลายอุตสาหกรรม โดยการนำเทคโนโลยีจากสตาร์ทอัพไปใช้
และหนึ่งในหนทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้ สตาร์ทอัพ เข้าใจความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและนำเทคโนโลยีไปต่อยอดในอุตสาหกรรมต่างๆ และสามารถขยายผลในเชิงธุรกิจได้จริง นั้น “การจับคู่ธุรกิจ” จึงเป็นวิธีและแนวคิดที่ NIA นำมาใช้ในโครงการนี้
ซึ่งก่อให้เกิด โอกาสที่สำคัญใน 4 มิติ คือ
1.โอกาสการขยายตลาดใหม่
2.โอกาสการสร้างความความร่วมมือกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต่อเนื่องถึงการสร้างธุรกิจใหม่ร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่
3.โอกาสการปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่จะนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจ ตลาด และห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่สำคัญต่อการยกระดับระบบนวัตกรรมของประเทศ
4. พัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกของไทยที่ในอนาคตสามารถขยายธุรกิจในระดับนานาชาติต่อไป
หัวใจสำคัญคือ SML มาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่อก่อนมีแต่ SME แต่เราได้คัดเลือกมา 10 ทีม ที่จะเข้าไปพัฒนากระบวนการทางอุตสาหกรรมร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในพื้นที่ อีอีซี ในรูปแบบ Co-creation
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5/156373?fbclid=IwAR2UhYcQDVymVvYVed0Q-mIxk8XCOAdJi0wZFbZSAbuLqJKUfvmALSK-tpI