#Techsauce 27 สิ่งหาคม 2564
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ต่อยอดโครงการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ NIA Deep Tech Incubation Program @EEC นำร่องผลักดันธุรกิจสตาร์ทอัพกลุ่มอารีเทค (ARITech) 10 ราย ที่มีศักยภาพในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับ 20 บริษัทขนาดใหญ่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี โดยคาดว่าภายในปี 2564 สตาร์ทอัพดังกล่าวจะได้รับการลงทุนไม่ต่ำกว่ารายละ 30 ล้านบาท พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีเชิงลึกไปยกระดับกระบวนการทางอุตสาหกรรมได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ NIA ยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนสตาร์ทอัพในด้านดีพเทคให้เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 100 ราย ภายในปี 2566 พร้อมผลักดันพื้นที่อีอีซีก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพกลุ่มดีพเทคระดับโลก โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ มหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญด้านงานวิจัย เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) รวมถึงการพัฒนาย่านนวัตกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกทั้ง 4 ย่าน
“กิจกรรมดังกล่าวเป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกกับบริษัท มากกว่า 20 บริษัท อาทิ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งกลุ่มธุรกิจเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor) ในการให้คำแนะนำ และเป็นพื้นที่ทดสอบโซลูชั่นการทำงานงานจริง (Sandbox) ระหว่างบริษัทพร้อมกับลูกค้า เพื่อยกระดับให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่กำลังพัฒนาสามารถแก้ไขปัญหาได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเติมเต็มศักยภาพการเป็นสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบ เช่น การมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน ซึ่งสำคัญอย่างมากต่อการได้รับการระดมทุน การรู้จักวิธีคิดแบบ Growth Mindset ไม่มองว่าอุปสรรคคือปัญหาของการทำงาน รวมถึงพัฒนาระบบทางการตลาด ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2564 นี้สตาร์ทอัพทั้ง 10 ราย จะได้รับการลงทุนไม่ต่ำกว่ารายละ 30 ล้านบาท รวมทั้งมีโอกาสได้เติบโตได้ในทั้งพื้นที่อีอีซีหรือพื้นที่อื่นในระยะยาวโดยไม่ต้องแข่งขันสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่เลียนแบบได้ยาก ตลอดจนมีสตาร์ทอัพที่เป็นคู่แข่งจำนวนน้อยรายที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้”
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า NIA ยังคงตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนสตาร์ทอัพในด้านดีพเทค ให้เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 100 ราย ภายในปี 2566 เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับจุลภาค เช่น การเข้าไปแก้ไขปัญหาเกษตรกร การจัดการธุรกิจขนาดกลาง – เล็ก ต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจในระดับมหภาคด้วยการช่วยปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือธุรกิจแบบดั้งเดิมให้ไปสู่ความทันสมัยและแข่งขันได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ ยังจะผลักดันสตาร์ทอัพให้เข้าสู่พื้นที่อีอีซีให้มากขึ้นโดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่
· มหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญด้านงานวิจัย ที่มีไม่ต่ำกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ และในพื้นที่อีอีซีมีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงสถาบันวิทยสิริเมธี (Vistec) ที่ขณะนี้ได้กลายเป็นจุดสำคัญในการกระจายนวัตกรรมและองค์ความรู้ให้แก่สตาร์ทอัพในระดับท้องถิ่น
· เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพได้ทดลองใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม ในผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทเอกชนรายใหญ่
· การพัฒนาย่านนวัตกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก 4 ย่าน ได้แก่ ย่านนวัตกรรมบางแสน ย่านนวัตกรรมศรีราชา ย่านนวัตกรรมพัทยา ย่านนวัตกรรมอู่ตะเภา-บ้านฉาง รวมถึงกิจกรรมด้านอื่นที่ทำงานกับหน่วยงานในพื้นที่ทั้งการให้ทุนสนับสนุนผ่านโครงการนวัตกรรรมด้านเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตาม ย่านนวัตกรรมจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตในการลงทุน การสร้างเครือข่าย การรวมกลุ่มธุรกิจ และศูนย์รวมของโอกาสทางด้านอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อุตสาหกรรมอวกาศ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมพลังงาน ฯลฯ
“NIA เชื่อว่าอีอีซีจะเป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการเติบโต การลงทุน รวมถึงเป็นเมืองที่เอื้อต่อการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพด้านดีพเทค ดังเช่นที่กรุงเทพมหานครเคยได้รับการจัดอันดับและเป็นที่ยอมรับในด้านระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลก โดยคาดหวังว่าพื้นที่ดังกล่าวก้าวไปสู่การเป็น Global Startup Hub หรือศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลกที่สามารถเชื่อมโยงการทำงานและการรังสรรค์นวัตกรรรม รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากสตาร์ทอัพจากนานาชาติที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงได้เช่นเดียวกัน” ดร.พันธุ์อาจ กล่าว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่